ฉบับราชบัณฑิตยสถานปีพุทธศักราช 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่าลีลาศและ เต้นรำดังนี้
ลีลาศ เป็นนามแปลว่า ท่าทางอันงดงาม การเยื้องกราย เป็นกิริยาแปลว่า เยื้องกรายเดิน นวยนาด ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Ballroom Dancing” หมายถึง การเต้นรำของคู่ชายหญิงตามจังหวะดนตรีที่มีแบบอย่างและลวดลายการเต้นเฉพาะตัว โดยมีระเบียบของการชุมนุม ณ สถานที่อันจัดไว้ในสังคม ใช้ในงานราตรีสโมสรต่าง ๆ และมิใช่การแสดงเพื่อให้คนดู
เต้นรำ เป็นกิริยาแปลว่า เคลื่อนที่ไปโดยมีระยะก้าวตามกำหนด ให้เข้ากับจังหวะดนตรี ซึ่งเรียกว่า ลีลาศ โดยปกติเต้นเป็นคู่ชายหญิง

การเต้นรำถือเป็นศิลปะการแสดงออกอย่างหนึ่ง ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ แอฟริกาและยุโรปตอนใต้ได้ถูกค้นพบภาพวาดศิลปะในการเต้นรำบนผนังถ้ำ ซึ่งได้ถูกวาดมาไม่น้อยกว่า 20,000 ปี พิธีกรรมทางศาสนาจะรวมถึงการเต้นรำ ดนตรี และแสดงละคร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มาก พิธีกรรมเหล่านี้อาจเป็นการบวงสรวงเทพเจ้าเทพธิดา การล่าสัตว์มาได้หรือการออกสงคราม นอกจากนี้อาจมีเต้นรำด้วยเหตุอื่นๆ เพื่อการเฉลิมฉลอง เช่น ฉลองการเกิด การหายจากเจ็บป่วย หรือการไว้ทุกข์
กรีกโบราณเห็นว่า การเต้นรำเป็นสิ่งจำเป็นในการศึกษา การบวงสรวงเทพเจ้า เทพธิดา และการแสดงละคร ปรัชญาเมธีพลาโต ให้ความเห็นว่า “พลเมืองกรีกที่ดี ต้องเรียนรู้การเต้นรำเพื่อพัฒนาการบังคับร่างกายตนเอง ทักษะในการต่อสู้” ดังนั้นการเต้นรำด้วยอาวุธ จึงถูกนำมาใช้ในการศึกษาทางทหารของเด็กทั้งในรัฐเอเธนส์และสปาร์ต้า นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้ในการแต่งงาน ฤดูการเก็บเกี่ยวพืชผล และในโอกาสอื่นๆ
การเต้นรำทางศาสนา เป็นส่วนสำคัญในการกำเนิดการละครของกรีก ระหว่าง 500 ปี ก่อน ค.ศ. การละครของกรีกเรียกว่า “Tragidies” ซึ่งพัฒนามาจากเพลงสวดในโบสถ์ และการเต้นรำเพื่อสรรเสริญเทพเจ้าดิโอนิซุส (God Dionysus) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่น การเต้นรำแบบ Emmeieia เป็นการเต้นรำที่สง่าภูมิฐาน ได้ถูกนำมาใช้ในละคร Tragedies โดยครูสอนเต้นรำจะต้องบอกเรื่องราวและชี้แนะท่าทางที่ต้องแสดงเพื่อให้จดจำได้ การแสดงตลกขบขันสั้นๆ ของกรีกเรียกว่า “Satyrs” ก็จัดอยู่ในการเต้นรำของกรีกด้วย
เมื่อโรมันรบชนะกรีก เมื่อ 197 ปี ก่อน ค.ศ. โรมันได้ปรับปรุงวัฒนธรรมการเต้นรำของกรีกให้ดีขึ้น การเต้นรำของโรมันคล้ายกับของกรีกที่เต้นรำเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า หญิงชาวโรมันก็จะถูกฝึกให้เต้นรำ แม้แต่ชาวต่างชาติหรือพวกข้าทาสที่อยู่ในโรมันก็จะมีการเต้นรำด้วย ชาวโรมันจะเต้นรำหลังจากการเพาะปลูกหรือกลับจากสงคราม ในยุคนี้มีนักเต้นรำของโรมันที่มีชื่อเสียงมาก คือ ซิซีโร (Cicero: 106-43 B.C.) ซึ่งเป็นผู้คิดและปรับปรุงลักษณะท่าทางการเต้นรำของโรมันให้ดีขึ้น
โบสถ์มีอิธิพลต่อการเต้นรำของยุโรปมาก โบสถ์มีข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการเต้นรำในฃ่วงยุคกลางซึ่งเป็นยุคที่ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย เฃื่อว่าการเต้นรำบางอย่างถือว่าต่ำช้าและเพื่อกามารมณ์ แต่ถึงอย่างไรผู้ที่ชอบการเต้นรำมักจะหาโอกาสจัดงานเต้นรำขึ้นในหมู่บ้านของตนอยู่เสมอ ในปี ค.ศ. 300 ได้จัดละครทางศาสนาขึ้นและมีการเต้นรำรวมอยู่ด้วยโดยบรรดาผู้ใช้แรงงานฝีมือ
ระหว่างปี ค.ศ. 300 กาฬโรคซึ่งเรียกว่า “ความตายสีดำ” ระบาดในยุโรป ทำลายชีวิตผู้คนไปมากจนทำให้ผู้คนแทบเป็นบ้าคลั่ง ประชาชนจะร้องเพลงและเต้นรำคล้ายคนวิกลจริตที่หน้าหลุมศพ ซึ่งฃ่วยให้เขาจะช่วยขับไล่สิ่งเลวร้ายและความตายให้หนีไปจากชีวิตของเขาได้
ในยุคกลางยุโรปยังมีการเฉลิมฉลองด้วยกการเต้นรำเสมอ เช่น การแต่งงาน วันหยุด และประเพณีต่างๆตามโอกาสเราเรียกกันว่า“การเต้นรำพื้นเมือง” ผู้ใหญ่และเด็กในชนบทจะจัดรำดาบ และเต้นรำรอบเสาสูงที่ผูกริบบิ้นจากยอดเสา (Maypoles) และพวกขุนนางที่ไปพบเห็นก็ได้นำมาพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น การเต้นรำแบบวงกลมของบรรดาขุนนางซึ่งเรียกว่า “Carol” เป็นการเต้นรำที่ค่อนข้างช้า ในช่วงปลายยุคกลาง การเต้นรำถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนแห่ต่างๆหรือในงานเลี้ยงที่มีเกียรติ
ยุคฟึ้นฟูเป็นยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ยุคฟื้นฟูเริ่มในอิตาลี เมื่อปี ค.ศ. 300 ในช่วงปลายสมัยกลางแล้วแผ่ขยายไปในยุโรป ปี ค.ศ. 300 ในอิตาลี ขุนนางที่มั่นคงในเมืองต่างๆ จะจ้างครูเต้นรำอาชีพมาสอนในคฤหาสน์ของตนเรียกการเต้นรำสมัยนั้นว่า Balli หรือ Balletti ซึ่งเป็นภาษาอิตาลี แปลว่า “การเต้นรำ”
ในปี ค.ศ. 1588 พระชาวฝรั่งเศสชื่อโตอิโน อาโบ (Thoinnot Arbeau: ค.ศ. 1519-1589) ได้พิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเต้นรำชื่อ ออเชโซกราฟี (Orchesographin) ในหนังสือได้บรรยายถึงการเต้นรำแบบต่างๆ หลายแบบ เป็นหนังสือที่มีคุณค่ามาก บันทึกถึงการเต้นรำที่นิยมใช้กันในบ้านขุนนางต่างๆ ในยุโรประหว่างศตวรรษที่ 16 งานเลี้ยงฉลองได้ถูกจัดขึ้นตามโอกาสต่างๆเช่น วันเกิด การแต่งงาน และการต้อนรับแขกที่มาเยือนในงานจะรวมพวกการเต้นรำ การประพันธ์ การดนตรี และการจัดฉากละครด้วย ขุนนางผู้หนึ่งชื่อ Lorenzo de Medlci ได้จัดงานขึ้นที่คฤหาสน์ของตน โดยตกแต่งคฤหาสน์ด้วยสีสันต่างๆ และจัดให้มีการแข่งขันหลายๆอย่าง รวมทั้งการเต้นรำสวมหน้ากาก (Mask Dance) ซึ่งต้องใช้จังหวะ ดนตรีประกอบการเต้น
พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิซี (Catherine de Medicis) พระราชินีในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 เดิมเป็นชาวฟลอเรนซ์แห่งอิตาลี พระองค์ได้นำคณะเต้นรำของอิตาลีมาเผยแพร่ในพระราชวังของฝรั่งเศส และเป็นจุดเริ่มต้นของระบำบัลเล่ย์ พระองค์ได้จัดให้มีการแสดงบัลเล่ย์โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วย
ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้ปรับปรุงและพัฒนาการบัลเล่ย์ใหม่ได้ตั้งโรงเรียนบัลเล่ย์ขึ้นแห่งแรก ชื่อ Academic Royale de Dance จนทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของยุโรป พระองค์คลุกคลีกับวงการบัลเล่ย์มาไม่น้อยกว่า 200 ปี โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วย บทบาทที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุดคือ บทเทพอพอลโลของกรีก จนพระองค์ได้รับสมญานามว่า “พระราชาแห่งดวงอาทิตย์” การบัลเล่ย์ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์มาก
การเต้นระบำบัลเล่ย์ในพระราชวังนี้เป็นพื้นฐานของการลีลาศ การเต้นรำในปี ค.ศ. 1700 ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ Gavotte, Allemande และMinuet รูปแบบการเต้นจะประกอบด้วยการก้าวเดินหรือวิ่ง การร่อนถลา การขึ้นลงของลำตัว การโค้ง และถอนสายบัว ภายหลังได้แพร่ไปสู่ยุโรปและอเมริกา เป็นที่ชื่นชอบของ ยอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกามาก การเต้นรำในอังกฤษซึ่งเป็นการเต้นรำพื้นเมืองและนิยมกันมากในยุโรป เรียกว่า Country Dance ภายหลังได้แพร่ไปสู่อาณานิคมตอนใต้ของอเมริกา
สมัยก่อนการแสดงบัลเล่ย์มักจะแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้า เทพธิดา แต่สมัยนี้มุ่งแสดงเกี่ยวกับชีวิตคนธรรมดาสามัญ เป็นเรื่องง่ายๆและจินตนาการ แต่เมื่อเข้าสู่ยุคโรแมนติกเป็นยุคที่มีการปฏิรูปเรื่องบัลเล่ย์ในสมัยนี้นักเต้นรำมีความเป็นอิสระเสรีในการเคลื่อนไหวและการแสดงออกของบุคคล
ในสมัยที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศส (ค.ศ. 1789) ได้มีการกวาดล้างพวกกษัตริย์และพวกขุนนางไป เกิดความรู้สึกอย่างใหม่คือ ความมีอิสระเสรีเท่าเทียมกัน เกิดการเต้นวอลซ์ ซึ่งรับมาจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากการเต้น Landler การเต้นวอลทซ์ได้แพร่หลายไปสู่ประเทศที่เจริญแล้วในยุโรปตะวันตก เนื่องจากการเต้นวอลซ์อนุญาตให้ชายจับมือและเอวของคู่ เต้นรำได้ จึงถูกคณะพระคริสประณามว่าไม่เหมาะสมและไม่สุภาพเรียบร้อย
ในช่วงปี ค.ศ. 1800-1900 การเต้นรำใหม่ๆที่เป็นที่นิยมกันมากในยุโรปและอเมริกา จะเริ่มต้นจากคนธรรมดาสามัญโดยการเต้นรำพื้นเมือง พวกขุนนางเห็นเข้าก็นำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับราชสำนัก เช่น การเต้น โพลก้า วอลซ์ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมมากของคนชั้นกลางและชั้นสูง
ในอเมริการูปแบบใหม่ในการเต้นรำที่นิยมมากในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพและพวกที่ยากจน คนผิวดำนิยมเต้น Tap-Danced หรือระบำย่ำเท้า โดยรวมเอาการเต้นรำพื้นเมืองในแอฟริกา การเต้นแบบจิ๊ก (jig) ของชาวไอริส และการเต้นรำแบบคล๊อก (Clog) ของชาวอังกฤษเข้าด้วยกัน คนผิวดำมักจะเต้นไปตามถนนหนทาง
ก่อนปี ค.ศ. 1870 การเต้นรำได้ขยายไปสู่เมืองต่างๆในอเมริกา ผู้หญิงที่ชอบร้องเพลงประสานเสียงจะเต้นระบำแคนแคน (Can-Can) โดยใช้การเตะเท้าสูงๆ เพื่อเป็นสิ่งบันเทิงใจแก่พวกโคบาลที่อยู่ตามชายแดนอเมริกา ระบำแคน-แคน มีจุดกำเนิดมาจากฝรั่งเศส
จังหวะวอลซ์จากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 17 แต่มิได้เผยแพร่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1816 จังหวะวอลซ์ ได้ถูกนำมาเผยแพร่ต่อที่ประชุมโดยพระเจ้ายอร์ชที่ 4 แม้จะไม่สมบูรณ์นักในขณะนั้น แต่ก็จัดว่าจังหวะวอลซ์เป็นจังหวะแรกของการลีลาศแท้จริง เพราะคู่ลีลาศสามารถจับคู่เต้นรำได้
ในราวปี ค.ศ. 1840 การเต้นรำบางอย่างกลับมาเป็นที่นิยมอีก อาทิ โพลก้า จากโบฮิเมีย ซึ่งเป็นที่นิยมมากในเวียนนา ปารีส และลอนดอน จังหวะมาเซอก้า (Mazuka) จากโปแลนด์ก็เป็นที่นิยมมากในยุโรปตะวันตก
ในราวกลางศตวรรที่ 19 การเต้นรำใหม่ๆก็เกิดขึ้นอีกมาก อาทิ การเต้นมิลิตารี่ สก๊อตติช (Millitary Schottische) การเต้นเค็กวอล์ค (Cakewalk) ซึ่งเป็นการเต้นรำแบบหนึ่งของพวกนิโกรในอเมริกา การเต้นทูสเตป (Two-Step) การเต้นบอสตัน (Boston) และการเต้นเตอรกีทรอท (Turkey trot)
ในศตวรรษที่ 20 ค.ศ. 1910 จังหวะแทงโก้จากอาร์เจนตินา เริ่มเผยแพร่ที่ปารีส เป็นจังหวะที่แปลกและเต้นสวยงามมาก
ในระหว่างปี ค.ศ. 1912-1914 Vemon และ lrene Castle ได้นำรูปแบบการเต้นรำแบบใหม่ๆ จากอังกฤษมาเผยแพร่ในอเมริกาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แก่จังหวะฟอกซ์ทรอทและแทงโก้
ปี ค.ศ. 2461 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้เลือกเฟ้นจังหวะเต้นรำทั้งบอลล์รูมและลาตินอเมริกาเรียบเรียงขึ้นเป็นตำรา วางหลักสูตรของแต่ละจังหวะรัดกุม ในสมัยนี้ประเภทบอลรูม มีเพียง 4 จังหวะคือ วอลซ์ ควิกวอลซ์ สโลว์ฟอกซ์ทรอทและแทงโก้
ปี ค.ศ. 1920 ในอเมริกาเริ่มนิยมจังหวะ Paso-Doble และการเต้นรำแบบก้าวเดียวสลับกัน (One-step) ซึ่งเรียกกันว่า Fast fox-trot
ปี ค.ศ. 1925 จังหวะชาร์ลตัน (Charleston) เริ่มเป็นที่นิยม รูปแบบการเต้นคล้ายทูสเตป และในปีเดียวกันนี้ Arthur Murray ก็ได้ให้กำเนิดการเต้นรำแบบสมัยใหม่ (Modem Dances) ขึ้น การเต้นรำแบบสมัยใหม่นี้เป็นการเต้นรำที่แสดงออกถึงจินตนาการของแต่ละบุคคล ไม่มีท่าเต้นที่แน่นอนตายตัว บางครั้งก็นำท่าบัลเล่ย์มาผสมผสานด้วย
ปี ค.ศ. 1929 จังหวะจิตเตอร์บัก (Jittebug) เริ่มเป็นที่นิยม รูปแบบการเต้นต้องอาศัยยิมนาสติก การเบรก และการก้าวเท้าย่ำเร็วๆ ในปีเดียวกันอิทธิพลจากเพลงแจ๊สของอเมริกา ทำให้เกิดจังหวะควิกสเตปขึ้น เป็นจังหวะที่ 5 ของบอลรูม
ปี ค.ศ. 1929 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการลีลาศ (Official Board of Ballroom Dancing) ขึ้นในประเทศอังกฤษและจัดการแข่งขันเต้นรำในอังกฤษทุกปี
ปี ค.ศ. 1930 การเต้นรำของชาวคิวบา (Cuban Dance) ก็เป็นที่นิยมมากในอเมิกา คือจังหวะคิวบันรัมบ้า หรือจังหวะรัมบ้า
ปี ค.ศ. 1939 บรรดาครูลีลาศและผู้ทรงคุณวุติทางลีลาศในอังกฤษได้ร่วมกันวางกฏเกณฑ์ของลวดลายต่างๆ ในลีลาศเพื่อให้เป็นมาตราฐานเดียวกัน ในแต่ละจังหวะมีประมาณ 20 ลวดลาย
ปี ค.ศ. 1940 การเต้นคองก้าและแซมบ้าจากบราซิลก็เป็นที่นิยมกันมาก
ปี ค.ศ. 1950 ได้จัดตั้งสภาการลีลาศระหว่างชาติ (International Council of Ballroom Dancing) โดยใช้ชื่อย่อว่า I.C.B.D. และในปีเดียวกันนี้มีจังหวะใหม่ๆ เข้ามาเผยแพร่อีก เช่น จังหวะแมมโบ้จาก คิวบา ชา ชา ช่า จากโดมินิกัน และเมอเรงเก้จากโดมินิกันเช่นกัน
ปี ค.ศ. 1959 จัดแข่งขันลีลาศชิงแชมป์เปี้ยนโลกขึ้นที่ประเทศอังกฤษ โดยจัดทั้งประเภทสมัครเล่นและอาชีพ ตามกฏเกณฑ์ที่สภาการลีลาศระหว่างชาติกำหนด นอกจากนี้สภาการลีลาศระหว่างชาติได้กำหนดจังหวะมาตรฐานไว้ 4 จังหวะ คือ วอลซ์ ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ และควิกสเตป ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวะที่มีการจัดการแข่งขันมี วอลซ์แบบอังกฤษ ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ ควิก สเตป และเวนิสวอลซ์ นอกจากนี้อมริกาและอังกฤษได้แนะนำร็อคแอนด์โรคให้ชาวโลกได้รู้จัก
ปี ค.ศ. 1960 มีจังหวะใหม่ๆ เกิดขึ้นในอเมริกาโดยคนผิวดำคือ จังหวะทวิสต์ การเต้นจะใช้การบิดลำตัว เข่าโค้งงอ การเต้นจะไม่แตะต้องตัวกับคู่คือต่างคนต่างเต้น นอกจากนี้ยังมีจังหวะฮัสเซิล (Hustle) และจังหวะบัสสาโนวา (Bossanova) ซึ่งดัดแปลงจากแซมบ้าของบราซิล
ปี ค.ศ. 1970 นิยมการเต้นรำที่เรียกว่า ดิสโก้ (Disco) ซึ่งค่อนข้างเต้นแบบอิสระมาก
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้มีการเต้นรำใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายแบบ เช่น แฟลชดาน (Flash Dances) เบรกดานซ์ (Brake Dances) ซึ่งมักจะเริ่มจากพวกนิโกรในอเมริกา และยังมีการเต้นรำโดยใช้ท่าบริหารร่างกายประกอบจังหวะดนตรีซึ่งเรียกว่า แอโรบิคดานซ์ (Aerobic Dances) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ การเต้นรำแบบต่างๆ เหล่านี้ไม่จัดเป็นการลีลาศ
นอกจากนี้ จังหวะเต้นรำก็เกิดขึ้นใหม่ๆ อีกหลายจังหวะเช่น สลูปปี้ เจอร์ค วาทูซี่ เชค อโกโก้ แมทโพเตโต้ บูการลู ซึ่งจัดเป็นการเต้นรำสมัยใหม่อยู่ ไม่จัดเป็นการลีลาศเช่นกัน
ลีลาศในประเทศไทย
ยังไม่มีหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเกิดขึ้นในรัชสมัยใด แต่สันนิษฐานว่า เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อจุลศักราช1226 โดยมีชาวต่างชาติเข้ามาเผยแพร่ โดยอ้างอิงจากบันทึกของแหม่มแอนนาทำให้มีหลักฐานว่าคนไทยลีลาสเป็นมาตั้งแต่สมัยนี้และพระบาทพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรบการยกย่องให้เป็นนักลีลาศคนแรกของไทย ในบันทึกกล่าวว่า แหม่มแอนนาสอนพระองค์ท่านให้เต้นจังหวะวอลซ์ ซึ่งเป็นวิธีการเต้นที่สุภาพและหรูมาก เป็นที่นิยมของชาวตะวันตกในวังของประเทศในแถบยุโรป แหม่มแอนนาแสดงท่าทางการเต้น แต่พระองค์กลับสอนว่าใกล้ไป แขนต้องวางให้ถูก แหม่มแอนนาประหลาดใจที่พระองค์ทรงลีลาสเป็น จึงสันนิษฐานว่าพระองค์ท่านศึกษาจากตำราด้วยพระองค์เองเพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าใครเป็นผู้สอนพระองค์
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนใหญ่มีแต่เจ้านายและขุนนาชั้นผู้ใหญ่ที่เต้นรำกันพอเป็น โดยเฉพาะเจ้านายที่ว่าการต่างประเทศจะมีการเชิญทูตานุทูต และชาวต่างประเทศมาเต้นรำกันที่บ้าน เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในการเฉลิมพระชนมพรรษาหรือเนื่องในวันบรมราชาภิเษก เป็นต้น จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานวังสราญรมย์ ให้เป็นศาลาว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นงานเต้นรำจึงได้ย้ายมาจัดกันที่วังสราญรมย์
สมัยรัชกาลที่ 6 ในพระบรมมหาราชวังจะมีงานเฉลิมพระชนมพรรษาทุปี นิยมจัดให้มีการเต้นรำขึ้น โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประธาน ซึ่งมีเจ้านายและบรรดาทูตานุทูตทั้งหลายเข้าเฝ้า ส่วนแขกที่เข้าร่วมงานจะต้องได้รับบัตรเชิญเท่านั้น
สมัยรัชกาลที่ 7 ลีลาศได้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้น จึงมีสถานที่สำหรับการลีลาศเกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น ห้อยเทียนเหลา เก้าชั้น คาเธ่ย์ และ โลลิต้า เป็นต้น
ในปี พ.ศ.2475 เกิดสมาคมสมัครเล่นเต้นรำ คือสมาคมเกี่ยวกับการเต้นรำ โดยนายหยิบ ณ นคร ได้ร่วมกับหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วราวรรณ ซึ่งเป็นนายกสมาคม ส่วนนายหยิบ ณ นคร เป็นเลขาธิการสมาคม แต่ไม่ได้จดทะเบียนให้เป็นที่ถูกต้องแต่ประการใด สำหรับกรรมการสมาคมส่วนใหญ่ก็เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ได้แก่ หลวงเฉลิม สุนทรกาญจน์ พระยาปกิตกลสาร พระยาวิชิต หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ หลวงชาติตระการโกศล และ นายแพทย์เติม บุนนาค และสมาชิกของสมาคมส่วนมากเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โดยส่วนมากพาลูกของตนมาเต้นรำ ทำให้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการจัดงานเต้นรำขึ้นบ่อยๆ ที่สมาคมคณะราษฎร์และวังสราญรมย์ โดยมีการจัดการแข่งขันเต้นรำขึ้นเป็นครั้งแรกที่วังสราญรมย์ ผู้ชนะเลิศเป็นแชมป์เปียนคู่แรกคือ พลเรือตรีเฉียบ แสงชูโต และประนอม สุขุม
ในช่วงปี พ.ศ.2475-2476 มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเรียกสมาคมสมัครเล่นเต้นรำว่าสมาคมตำเล่น.. (คำผวนของคำว่าเต้นรำ) ซึ่งฟังแล้วไม่ไพเราะ ดังนั้นจึงมีการบัญญัติศัพท์คำว่า ลีลาศ ขึ้นแทนคำว่า เต้นรำ โดยหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ และต่อมาสมาคมสมัครเล่นเต้นรำก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักจึงสมาชิกจึงค่อยๆหายไป แต่ยังคงมีการชุมนุมกันของครูลีลาศอยู่เสมอ โดยมีนายหยิบ ณ นคร เป็นผู้ประสานงาน
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การลีลาศได้ซบเซาลง จนกระทั่งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2488สงครามได้สงบลง เกิดการฟื้นตัวขึ้นใหม่ของวงการลีลาศไทย มีโรงเรียนสอนลีลาศเกิดขึ้นหลายแห่งโดยเฉพาะสาขาบอลรูมสมัยใหม่ ( Modern Ballroom Branch ) โดยอาจารย์ยอด บุรี ได้ไปศึกษามาจากประเทศอังกฤษและเป็นผู้นำมาเผยแพร่ จึงทำให้การลีลาศซึ่งศาสตราจารย์ศุภชัย วานิชวัฒนาเป็นผู้นำอยู่ก่อนแล้วเจริญขึ้นเป็นลำดับ
ในปี พ.ศ.2491 มีการก่อตั้งสมาคมลีลาศแห่งประเทศไทยขึ้นโดยบุคคลชั้นนำในการลีลาศ อาทิ อุไร โทณวณิก, กวี กรโกวิท, จำลอง มาณยมณฑล, ปัตตานะ เหมะสุจิ และ นายแพทย์ประสบ วรมิศร์ ซึ่งเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันลีลาศสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ อนุญาตให้จัดตั้งได้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2491 นายกสมาคมคนแรคือหลวงประกอบนิติสาร ปัจจุบันสมาคมลีลาศแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิกของสภาการลีลาศนานาชาติอีกด้วย
หลังจากนั้นการลีลาศในประเทศไทยก็เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย มีสถานลีลาศ มีการแข่งขันลีลาศและสนใจเรียนลีลาศกันมากขึ้น จึงมีการจัดตั้งสมาคมครูลีลาศขึ้นสำหรับเปิดสอนลีลาศและส่งนักลีลาศไปแข่งขันที่ต่างประเทศ ตลอดจนจัดแข่งขันลีลาศนานาชาติขึ้นในประเทศไทย ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้โรงเรียนสอนลีลาศต่างๆ อยู่ในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ และมีการกำหนดหลักสูตรลีลาศขึ้นอย่างเป็นแบบแผนทำให้การลีลาศมีมาตรฐานยิ่งขึ้น ส่งผลให้การลีลาศในประเทศไทยเป็นที่ยอมรับและนิยมในวงการ ทำให้มีโรงเรียนหรือสถาบันเปิดสอนลีลาศขึ้นเกือบทุกจังหวัด มีการจัดวิชาลีลาศเข้าไว้ในหลักสูตรตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษามีการรวบรวมการเต้นรำจากหลายประเทศ มาวางรูปแบบให้เป็นมาตรฐาน และแบ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ Standard และ Latin American ซึ่งมีการใช้แพร่หลาย โดยเฉพาะในทวีปยุโรป และมีการรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรขึ้นมา เพื่อบริหารจัดการในระดับนานาชาติ ที่สำคัญแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่ม WD&DSC ซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นครูลีลาศและนักลีลาศอาชีพ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ส่วนกลุ่ม IDSF ซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักลีลาศสมัครเล่น มีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเยอรมัน และสวิสเซอร์แลนด์
ในปี 1991 ได้มีกลุ่มนักธุรกิจนำโดย นายจรัญ เจียรวนนท์ ได้รวบรวมกลุ่มนักธุรกิจ ก่อตั้งสมาคมลีลาศสมัครเล่นประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายด้วยการลีลาศ โดยมีนายสุชัย เพียรพัฒนางกูร เป็นอุปนายกดูแลงานด้านการต่างประเทศ และได้เข้าเป็นสมาชิกของ IDSF ซึ่งขณะนั้นมีสมาชิกอยู่เพียงไม่กี่ประเทศ หลังจากเข้าร่วมประชุมในระดับนานาชาติหลายครั้ง จึงได้ทราบว่า วิธีเดียวที่จะส่งเสริมการออกกำลังกายด้วยการลีลาศให้สำเร็จ คือ จะต้องผลักดันให้โอลิมปิกสากล รับรองว่าการลีลาศเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นแทบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้ เนื่องจากมีการออกกำลังกายจำนวนมาก ยื่นขอให้โอลิมปิกสากลรับรอง และการจะให้โอลิมปิกสากลรับรอง ก็มีเงื่อนไขมากมาย
หลังจากการประชุมระดับนานาชาติแล้ว ทางอุปนายกฝ่ายต่างประเทศ ก็ได้เริ่มทำการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการลีลาศ รวมทั้งการเดินทางไปในหลายประเทศ ที่เป็นต้นกำเนิดของจังหวะการลีลาศ เช่น ประเทศอาร์เจนติน่า ประเทศบราซิล และประเทศออสเตรีย จึงทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น จากนั้น ก็ได้หาข้อมูลว่าโอลิมปิกสากลมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง หลังจากศึกษารายละเอียดแล้วสรุปได้ว่า มีเงื่อนไขที่สำคัญมากอยู่ 2 ประการ คือ
1. ต้องเป็นสิ่งที่แพร่หลายในหลายทวีปทั่วโลก ไม่ใช่แพร่หลายเฉพาะในทวีปยุโรป
2. ต้องมีองค์กรที่เป็นหนึ่งเดียว สามารถจัดการควบคุมองค์กรสมาชิกได้ทั่วโลก ไม่ใช่มี 2 องค์กร และขัดแย้งกันมาก เช่น IDSF และ WD&DSC
ทางอุปนายกฝ่ายต่างประเทศ จึงได้มีแนวความคิดว่า การลีลาศแพร่หลายมากเฉพาะในทวีปยุโรป IDSF และ WD&DSC ต่างก็ขัดแย้งกันมาก ซึ่งผิดเงื่อนไขของโอลิมปิกสากล จึงไม่มีทางที่โอลิมปิกสากลจะให้การรับรอง แต่ถ้าสามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกให้มากขึ้น และกระจายไปในทุกทวีปทั่วโลก จะทำให้มีความสามารถในการผลักดันให้โอลิมปิกสากล รับรอง IDSF ได้ง่ายขึ้น
ในปี 1994 นายสุชัย เพียรพัฒนางกูร จึงได้ติดต่อหารือกับประเทศญี่ปุ่น และประเทศจีน ถึงแนวความคิดที่จะก่อตั้ง สหพันธ์กีฬาลีลาศแห่งทวีปเอเชีย (ADSF) ซึ่งทั้ง 2 ประเทศเห็นด้วย และมีการปรึกษาหารือกันหลายครั้งในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และฝรั่งเศส เพื่อทำความเข้าใจและขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกทั่วโลก ในการก่อตั้ง ADSF ซึ่งมีอุปสรรคปัญหามากมาย รวมทั้งการแก่งแย่งกันเป็นผู้นำในทวีปเอเชีย และการไม่ต้องการให้มีการแยกตัวไปตั้ง ADSF จึงต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ในการประชุมหลายประเทศ จนได้รับการอนุมัติจากการประชุม IDSF ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และก่อตั้งสำเร็จในการประชุมที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ในปี 1996 และเนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่ม ต้องใช้เวลาและเงินจำนวนมาก ทางประเทศสมาชิกจึงสนับสนุนให้ นายสุชัย เพียรพัฒนางกูร ขึ้นเป็นประธานก่อตั้งของ ADSF
หลังจากนั้น จึงได้เริ่มเพิ่มจำนวนสมาชิกอีกหลายสิบประเทศ ทั้งในทวีปเอเชีย และทวีปอื่นๆทั่วโลก ขณะเดียวกัน ADSF ก็เริ่มวางกฎระเบียบการแข่งขัน การฝึกอบรมกรรมการตัดสินให้เป็นมาตรฐาน และติดต่อประสานงาน เพื่อเข้าเป็นสมาชิกของโอลิมปิกคอมมิตี้เอเชีย (OCA) โดยได้รับความสนับสนุนและร่วมมือเต็มที่จาก MR.WEI JI ZHONG จึงทำให้ ADSF มีความเข้มแข็งมากในทวีปเอเชีย และได้ร่วมมือกับ IDSF ในการผลักดันให้ IOC รับรอง แต่ยังติดปัญหาการคัดค้านจาก WD&DSC นายสุชัย เพียรพัฒนางกูร จึงได้เสนอในที่ประชุม IDSF ในเมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ให้ WD&DSC เข้าเป็น Associate Member หรือสมาชิกร่วม เพื่อให้ IOC รับรองลีลาศเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ซึ่ง WD&DSC เห็นด้วย
นายสุชัย เพียรพัฒนางกูร จึงได้เริ่มขอเสียงสนับสนุนจาก IOC Member ในทวีปเอเชีย ไปรวมกับเสียงของ IOC Member ในทวีปยุโรป ให้การสนับสนุนลีลาศเป็นกีฬา โดยมี IDSF เป็นองค์กรหลักในการควบคุม ซึ่งประสพความสำเร็จในที่ประชุม IOC เมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ต้นปี 1998ต่อมาได้รับทราบจาก IOC Member ในทวีปยุโรปว่า ถึงแม้จะได้รับการรับรองลีลาศเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง แต่อย่าหวังจะได้บรรจุเข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก เนื่องจาก IOC มีนโยบายจะลดจำนวนประเภทกีฬา และยังมีกีฬาจำนวนมากที่ขอเข้าแข่งขัน แต่ไม่ได้รับการพิจารณา
นายสุชัย เพียรพัฒนางกูร จึงมีความคิดว่า ถ้าวันนี้ไม่มีโอกาส การแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกอนาคตคงจะยาก จึงมีความคิดว่า ถ้าสามารถผลักดันให้เข้าสาธิตในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ หรือกีฬาโอลิมปิกของทวีปเอเชียไว้เป็นพื้นฐานอนาคต ถ้าโอลิมปิกสากล IOC มีนโยบายเพิ่มประเภทกีฬา ก็จะสามารถบรรจุเข้าแข่งขันได้เลย จากนั้น จึงได้เริ่ม Lobby IOC Member ในทวีปเอเชีย ให้สนับสนุนกีฬาลีลาศเข้าสาธิตในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ จนกระทั่งประสพความสำเร็จ OCA อนุมัติให้กีฬาลีลาศบรรจุเข้าเป็นกีฬาสาธิต ในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์เมื่อปลายปี 1998 ที่กรุงเทพฯ
สหพันธ์กีฬาลีลาศนานาชาติ (IDSF) ได้ประกาศว่า เป็นครั้งแรกในโลกที่กีฬาลีลาศ ได้รับการบรรจุเข้าแข่งขัน ในการแข่งขันของกลุ่มโอลิมปิกสากล ซึ่งจะเป็นโอกาสให้กีฬาลีลาศ มีโอกาสบรรจุเข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกในอนาคต
ปัจจุบันลีลาศและมากกว่านั้นได้รับการรับรองให้เป็นกีฬาจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee = IOC ) อย่างเป็นทางการมีการประชุมครั้งที่ 106 วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2540 ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
สำหรับในประเทศไทยคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในสมัยที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ ได้มีมติรับรองลีลาศเป็นการกีฬาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541 จัดเป็นกีฬาลำดับที่ 45 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย และยังได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาลีลาศ ( สาธิต) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 6-20 ธันวาคม พ.ศ.2541ขึ้นเป็นครั้งแรกในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13
ประเภทของลีลาศ
การลีลาศตามหลักมาตรฐานสากล หรือการเต้นรำแบบบอลรูม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ประเภทบอลรูม หรือโมเดิร์น หรือสแตนดาร์ด (Ballroom or Modern or Standard)
การลีลาศประเภทนี้จะมีลักษณะการเต้นและท่วงทำนองดนตรีที่เต็มไปด้วยความสุภาพ นุ่มนวล อ่อนหวาน สง่างาม และเฉีบยขาด ลำตัวของผู้ลีลาศจะตั้งตรงผึ่งผาย ขณะก้าวนิยมลากเท้าสัมผัสไปกับพื้น จังหวะที่จัดอยู่ในการเต้นรำประเภทนี้มี 5 จังหวะ คือ
1.1 ควิกสเตป (Quick Step)
1.2 วอลซ์ (Waltz)
1.3 ควิกวอลซ์ หรือเวียนนิสวอลซ์ (Quick Waltz or Viennese Waltz)
1.4 สโลว์ฟอกซ์ทรอต (Slow Foxtrot)
1.5 แทงโก้ (Tango)
2. ประเภทละตินอเมริกัน (Latin American)
การลีลาศประเภทนี้จะมีลักษณะการเต้นที่คล่องแคล่ว ปราดเปรียวกว่าประเภทบอลรูม ส่วนใหญ่จะใช้สะโพก เอว ขา และข้อเท้าเป็นส่วนใหญ่ ท่วงทำนองดนตรี และจังหวะจะเร้าใจและสนุกสนานร่าเริง จังหวะที่จัดอยู่ในการเต้นรำนี้มี 5 จังหวะ คือ
2.1 คิวบัน รัมบ้า (Cuban Rumba)
2.2 ชา ชา ช่า (Cha Cha Cha)
2.3 แซมบ้า (Samba)
2.4 ไจฟว์ (Jive)
2.5 พาโซโดเบล้ หรือพาโซโดเบิ้ล (Paso Doble)
สำหรับการลีลาศในประเทศไทย ยังมีการเต้นรำที่จัดอยู่ในประเภทเบ็ดเตล็ด (Pop and social Dance) อีกหนึ่งประเภท ซึ่งจังหวะที่นิยมลีลาศกัน ได้แก่ จังหวะบีกิน (Beguine) อเมริกัน รัมบ้า (American Rumba) กัวราช่า (Guaracha) ออฟบีท (Off-Beat) ตะลุง เทมโป้ (Taloong Tempo)และร็อค แอนด์ โรลล์ (Rock and Roll) เป็นต้น
ประโยชน์ของการเต้นลีลาส
นอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้วยังช่วยพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมได้เป็นอย่างดี จึงพอสรุปประโยชน์ของการลีลาศได้ ดังนี้
1. ก่อให้เกิดความซาบซึ้งในจังหวะดนตรี
2. ก่อให้เกิดความสนุกสนาม เพลิดเพลิน
3. เป็นกิจกรรมนันทนาการ และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
4. เป็นกิจกรรมสื่อสัมพันธ์ทางสังคม ผู้ชายและผู้หญิงสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมพร้อมกันได้
5. ช่วยพัฒนาทักษะทางกลไก (Motor Skill)
6. ช่วยส่งเสริมสุขภาพพลานามัย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ให้แข็งแรงสมบูรณ์อันจะทำให้มีชีวิตยืนยาวและมีความสุข
7. ทำให้มีรูปร่างทรวดทรงงดงาม สมส่วน มีบุคลิกภาพในการเคลื่อนไหวที่ดูแล้วสง่างาม ยิ่งขึ้น
8. ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม
9. ช่วยให้รู้จักการเข้าสังคม และรู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคมได้เป็นอย่างดี
10. ช่วยส่งเสริมให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออกในสิ่งที่ดีงาม
11. ทำให้มีความซาบซึ้งในวัฒนธรรมอันดีงาม และช่วยจรรโลงให้คงอยู่ตลอดไป
12. เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
13. เป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยแก้ไขข้อบกพร่องทางกาย
2. ก่อให้เกิดความสนุกสนาม เพลิดเพลิน
3. เป็นกิจกรรมนันทนาการ และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
4. เป็นกิจกรรมสื่อสัมพันธ์ทางสังคม ผู้ชายและผู้หญิงสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมพร้อมกันได้
5. ช่วยพัฒนาทักษะทางกลไก (Motor Skill)
6. ช่วยส่งเสริมสุขภาพพลานามัย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ให้แข็งแรงสมบูรณ์อันจะทำให้มีชีวิตยืนยาวและมีความสุข
7. ทำให้มีรูปร่างทรวดทรงงดงาม สมส่วน มีบุคลิกภาพในการเคลื่อนไหวที่ดูแล้วสง่างาม ยิ่งขึ้น
8. ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม
9. ช่วยให้รู้จักการเข้าสังคม และรู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคมได้เป็นอย่างดี
10. ช่วยส่งเสริมให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออกในสิ่งที่ดีงาม
11. ทำให้มีความซาบซึ้งในวัฒนธรรมอันดีงาม และช่วยจรรโลงให้คงอยู่ตลอดไป
12. เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
13. เป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยแก้ไขข้อบกพร่องทางกาย
Professional dancers' tango
megagame สูตรบาคาร่าออนไลน์ เว็บตรง ไม่ผ่านเอเย่นต์ 2022 อยากให้ทุกคนลองเล่น ทุกคนมาลองเล่นเกมในระบบกันคะ
ตอบลบสล็อต999 vipระบบออโต้ ต้อง VARVIP999.COM สล็อต pg เว็บตรง ไม่ผ่านเอเย่นต์ 2022 อยากให้ทุกคนลองเล่น ทุกคนมาลองเล่นเกมในระบบกันค่ะ
ตอบลบสล็อต ทดลอง เล่น ระบบใหม่ปัจจุบันที่ได้สะสมเกมทดสอบเล่นสล็อตค่าย PG SLOT ที่ทดสอบ เล่นสล็อตฟรีสปิน ทดสอบเล่นได้ก่อนผู้ใคร ไม่ต้องสมัคร ไม่ต้องฝาก ทดลองเล่นสล็อตฟรี
ตอบลบ